13 ตุลาคม วันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
วันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ต.ค. 2559 เวลา 15.52 น. ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช สิริพระชนมพรรษา 88 ปี 313 วัน ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี 4 เดือน 4 วัน โดยคณะรัฐมนตรีมีมติประกาศให้วันที่ 13 ต.ค.ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตและวันหยุดราชการเพื่อให้ประชาชนน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2559 นำมาซึ่งความโศกเศร้าอาดูรเสียใจอาลัยรัก เทิดทูนของปวงประชาชนคนไทยทั่วประเทศและที่พำนักอาศัยในต่างแดน อย่างยากที่จะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดหรือตัวหนังสือได้ หลายต่อหลายคนในช่วงเวลารู้ข่าวการเสด็จสวรรคตนั้นเมื่อถามไถ่พูดคุยพูดกันคำพูดออกแทบไม่เป็นประโยคกระอึกกระอักด้วยก้อนสะอื้นจุกอยู่ในลำคอด้วยความอาดูร มีแต่น้ำตาพร่างพรูไหลออกมาอาบสองแก้มนองหน้า อีกไม่น้อยเอาแต่กอดกันหลั่งน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้นปานประหนึ่งจะขาดใจเสียให้ได้
กาลเวลาผ่านไปจากวันที่คนไทยสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศชาติคือผู้ที่คนทั้งแผ่นดินเคารพรักเทิดทูนเชิดชูบูชา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐในฐานะพ่อของแผ่นดิน วันนี้คนไทยทุกคนก็ยังคงน้อมรำลึกถึงพระองค์ท่านมิส่างซา ด้วยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทุ่มเทพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจโดยมิได้ทรงรู้เหน็ดเหนื่อย มิทรงคำนึงถึงความสำราญส่วนพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินไปทุกหนแห่งไม่ว่าจะต้องทรงปีนเขา บุกป่า ลุยน้ำ กรำแดดฝน ก็มิทรงย่อท้อยากลำบากแค่ไหนก็เสด็จฯไปเมื่อทรงทราบว่าราษฎรของพระองค์ทุกข์ยากลำบากขาดแคลนเดือดร้อนในการดำเนินชีวิต ทั้งนี้เพื่อที่จะทรงสร้างประโยชน์สุขดับทุกข์เข็ญให้แก่ประชาชนที่ทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่าคือลูกๆของพระองค์นั่นเอง
ทรงปฏิบัติพระองค์อย่างนี้ต่อเนื่องนับ 70 ปีตั้งแต่เสด็จขึ้นครองสิริราชตราบเสด็จสวรรคต
วันเวลาผ่านไปวันนี้วันที่ 13 ตุลาคม 2564 วันเสด็จสวรรคตเวียนมาบรรจบครบ 5 ปี คนไทยทุกคนเมื่อน้อมรำลึกถึงพูดคุยถามความรู้สึกกันก็ยังคงอยู่ในอากัปกิริยาโศกเศร้าอาลัยด้วยทุกคนรู้สึกอย่างเดียวกันว่าทรงสถิตย์อยู่ในใจมิได้เสด็จจากไปไหนเลย เอ่ยพระนามในหลวงรัชกาลที่9น้ำตาคลอเบ้าปริ่มจะหยดย้อยลงมาเสียให้ได้ทุกครั้ง หลายคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำน้ำตาไหลพรากย้อยผ่านร่องแก้มออกมาตั้งแต่ตอนไหน แม้วันนี้เสด็จสวรรคต 5 ปีแล้ว คนไทยทั้งประเทศก็ยังคงความอาลัยรำลึกถึงด้วยความเทิดทูนความรักความศรัทธาด้วยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ตลอดเวลา 70 ปีทรงงานหนักเพื่อให้ประชาชนคนไทยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นอยู่ดีมีสุขด้วยความพออยู่พอกินพึ่งพาตนเองได้ผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่พระราชไว้ทั่วทุกภูมิภาคเป็นต้นแบบที่จะน้อมไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพในพื้นที่ของตนเองได้ ทั้งแบบอย่างการใช้ทรัพยากรป่า ทรัพยากรน้ำและทรัพยากรดินโดยเกื้อกูลพึ่งพาอาศัยกันรวมแล้วเกินกว่า 4,500 โครงการ
การเสด็จพระราชดำเนินไปยังทุกท้องถิ่นที่เพื่อที่จะได้ทอดพระเนตรวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร ดำรงชีวิตมีความสุขอยู่ทุกข์เพียงใด ปัญหาที่เกิดคืออะไร และเพื่อทรงเยี่ยมเยียนเป็นสิริมงคลขวัญกำลังใจเฉพาะอย่างยิ่งทำให้ทรงทราบด้วยพระเนตรพระกรรณว่าความทุกข์ที่เกิดกับการดำรงชีวิตการประกอบอาชีพหลักในแต่ละท้องถิ่นล้วนขาดแคลนปัจจัยหลักคือ “น้ำ” ดังพระราชทานพระราชดำรัสว่า “น้ำคือชีวิต”
“…หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราว่าชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้…” พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทาน ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2529
การเสด็จพระราชดำเนินไปท้องถิ่นภูมิภาคของประเทศไทยนอกจากจะทรงตั้งพระราชหฤทัยไปทรงเยี่ยมราษฎรเสด็จฯไปเพื่อทรงทราบปัญหาความเป็นอยู่ของราษฎรด้วยพระองค์เอง แล้วที่สำคัญคือทรงไปหาแหล่งน้ำ สร้างแหล่งน้ำให้ราษฎร อันเป็นปัจจัยสำคัญที่จะบรรเทาทุกข์นำประโยชน์สุขไปแทนที่ได้ พระมหากรุณาธิคุณยังแผ่ไพศาลอันมิอาจกล่าวได้อย่างครบถ้วยกระบวนความที่จะเป็นเครื่องนำประโยชน์สุขสู่ชาวไทยทั้งปวง เช่นพระมหากรุณาธิคุณที่บรรเทาทุกข์ผ่านโครงการด้านสาธารณสุข ผ่านโครงการด้านการศึกษาทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย ทรงดำเนินพระองค์ให้คนไทยทั้งประเทศได้ตระหนักถึงความสำคัญในการตระหนักถึงการอนุรักษ์สืบสานการดำเนินชีวิตบนวิถีดีงามแห่งวัฒนธรรมประเพณีไทยยึดมั่นในหลักคุณธรรมของแตละศาสนาฯลฯ
ด้วยพระเมตตาพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าวคนไทยทุกคนน่าจะพูดออกมาจากความรู้สึกตรงกันว่าพระองค์ทรงเป็นดั่งพ่อและเป็นพ่อที่ทรงงานหนักที่สุดในโลกเพื่อลูกๆคนไทยทุกคนจะหาพ่อคนใดในโลกเสมอเหมือนมิมีอีกแล้ว เพื่อลูกอยู่ดีพออยู่พอกินพอเพียง ประเทศชาติเจริญงอกงามตามวิถีดีงามแห่งวัฒนธรรมประเพณีไทยนำมาซึ่งความสุขสงบอย่างยั่งยืน เมื่อดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทที่ทรงเป็นแบบอย่าง เฉพาะอย่างยิ่งได้พระราชทานหลักคิดให้นำไปปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันคือหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านหลักการทรงงานที่ทรงทุ่มเทพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างหนักหน่วงด้วยพระราชปณิธานสร้างประโยชน์สุขแก่พสกนิกรทุกหมู่เหล่า ดังพระราชดำรัสที่พระราชทานเป็นหลักคิดเพิ่มพูนปัญญาเพิ่มพูนสติเพื่อไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตที่อัญเชิญมาเพื่อร่วมน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ “เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็ม ที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็มและลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป” พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จากวารสารชัยพัฒนาประจำเดือนสิงหาคม 2542
“…คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิด อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ มีความคิดว่าทําอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข…”
“…ให้พอเพียงนี้ก็หมายความว่า มีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ แม้บางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ก็สมควรที่จะทำ สมควรที่จะปฏิบัติ อันนี้ก็หมายความอีกอย่างของเศรษฐกิจ หรือระบบพอเพียง…พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง…”
“…เศรษฐกิจพอเพียง…จะทำความเจริญให้แก่ประเทศได้ แต่ต้องมีความเพียร แล้วต้องอดทน ต้องไม่ใจร้อน ต้องไม่พูดมาก ต้องไม่ทะเลาะกัน ถ้าทำโดยเข้าใจกัน เชื่อว่าทุกคนจะมีความพอใจได้…”
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 4 ธันวาคม 2541
วันนี้พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเสด็จสวรรคต 4 ปีแล้ว คนไทยทั้งประเทศยังเศร้าโศกอาลัยถึงพระองค์ท่านมีสร่างซา แต่วันนี้คนไทยด้วยมุ่งสืบสานพระราชปณิธานเดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทได้แปรเปลี่ยนความโศกเศร้าอาลัยโทมนัส ให้กลับกลายเป็นพลังตั้งหัวใจ มุ่งมั่นปฏิบัติตนโดยการทำความดี น้อมนำหลักการดำเนินชีวิตปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่พระราชทานเป็นเครื่องมือพัฒนาคุณภาพชีวิต เป็นเครื่องมือพัฒนาตนเอง พัฒนาครอบครัว พัฒนาชุมชน พัฒนาสังคมชาติบ้านเมือง เป็นคนไทยที่ประสานพลังของจิตอาสาเสียสละมุ่งประโยชน์ส่วนรวมช่วยเหลือกันและกันทั้งประเทศ สามัคคีกันไม่ทะเลาะกัน ไม่แก่งแย่งกันด้วยความโลภ พึ่งพาอาศัยแบ่งปันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้อภัยกันด้วยเมตตากรุณารักใคร่ปรองดองกัน อันเป็นเครื่องแสดงออกถึงการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
วันที่ 13 ตุลาคม 2564 วันคล้ายวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในนามปวงพสกนิกรชาวไทยร้อยรวมดวงใจสืบสานพระราชปณิธานในการประกอบความดีงามให้สังคมชาติบ้านเมือง ให้ชุมชน ให้ครอบครัว ดำรงมั่นในวิถีชีวิตวัฒนธรรมประเพณีไทยอันดีงามเป็นแบบอย่างความเป็นคนดีของบ้านเมืองด้วยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ตราบนิรันดร์
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ออนไลน์
https://siamrath.co.th/n/108283